JoopIE's Blog

Finding Others Lifestyles

Wednesday, September 20, 2006

โอ้ว....ผมเกิดมาเพื่อสิ่งนี้

  1. ตอนผมสัมภาษณ์งาน ผมต้อง"ขาย"ตัวผมเอง ผมต้องทำให้บริษัทเห็นว่าผมน่า"ซื้อ" เพื่อที่ว่าสุดท้ายเค้าจะได้จ้าง(ซื้อ)ผม
  2. ตอนผมเริ่มต้นทำงาน ผมต้อง"ขาย" ตัวผมเองให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ผมต้อง present งานและทำผลงานให้ดีที่สุด ผมถึงจะ"ขาย" ออก
  3. เมื่อผมไปพบลูกค้า งานของผมก็คืองาน"ขาย" ผมต้องขาย Products ของบริษัทให้กับลูกค้า ผมต้องทำให้เค้าเห็นว่า Products ของบริษัท น่าซื้อและน่าใช้ เพื่อที่ว่าสุดท้ายผมจะได้ "ขาย" สินค้าให้กับลูกค้าได้

.......ทุกคนต้อง"ขาย" เพียงแต่ท่านจะ"ขาย"อะไร ให้กับใคร และเพื่ออะไรเท่านั้นเอง หลายท่าน"ขาย"แรงงาน แลกเงินเดือน (ผมคนนึง) หลายท่าน"ขาย"ความรู้เพื่อแลกค่าจ้าง (ผมก็คนนึง) หลายท่าน"ขาย"สินค้า เพื่อแลกมาซึ่งค่าสินค้าบวกกำไร (นี่ก็ผมอีกคนนึง) หลายท่าน"ขาย"บริการ เพื่อแลกค่าบริการ(เอ๋า นี่ก็ผมอีกคนนึง) มีอีกหลายอย่างที่ผมต้อง"ขาย" เหมือนกับหลายๆคน จนถึงตอนนี้ผมไม่รู้ว่าผมต้องขายอะไรอีก แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามทำให้ได้ก็คือ"ผมต้องขายให้ได้ทุกอย่าง" เพราะผมคือ"นักขาย"

ทำงาน=พักผ่อน

......จันทร์ถึงศุกร์ทำงาน เสาร์-อาทิตย์ก็ทำงาน ผมถือว่าการทำงานคือการพักผ่อน ผมพักผ่อนทุกวัน ผมมีความสุข งานจ๋า ผมรักงาน

Tuesday, August 15, 2006

ถึงเวลา.....ติดสินใจ!!!

.......ชีวิตคนเราเมื่อไปถึงจุดๆหนึ่งแล้ว มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้อง...เลือก แล้วทำไมหรือเพราะเหตุใดเราจึงต้องเลือกด้วยล่ะ คงเพราะว่าเราไม่สามารถเอาหมดทุกอย่างได้มั๊ง เราคงต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง พระเจ้าคงสร้างให้คนเราเกิดมาเพื่อทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งให้กับตัวเอง คนอื่น และสังคม ก่อนที่เขาจะลาจากโลกนี้ไป (แต่พระเจ้าคงไม่ได้ถามคุณก่อนว่าอยากจะเกิดมาเพื่อทำอะไร) ตอนนี้ผมได้เลือกแล้ว มันเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งหนึ่งของชีวิตเลยทีเดียว แม้ผมจะไม่รู้ว่าผมจะประสบความสำเร็จกับทางเลือกนี้เพียงใด แต่ผมก็ยังมั่นใจว่าผมทำมันได้ดี ก่อนจะสิ้นปีนี้ บริษัทและตัวผมเองคงให้คำตอบนี้ได้ งานนนี้เป็นสิ่งที่ผมอยากทำ แม้มันจะเป็นสิ่งใหม่สำหรับผมก็ตาม มันทั้งน่าตื่นเต้นและน่ากังวลไปพร้อมๆกัน พรุ่งนี้คือวันเริ่มงานวันแรก คงมีอะไรแปลกใหม่ให้ผมได้เห็น พบเจอ และสัมผัสมากมาย ขอให้ผมมีความเพียรและความอดทนที่จะฝ่าฟันความยากลำบากที่จะเข้ามาในชีวิตการทำงานของผม เพราะในส่วนของความสามารถ...ผมคิดว่า....ผมมีพอ

สัมภาษณ์งาน - ด่านอรหันต์

......(15/8/06 ) เรื่องนี้มีรายละเอียดเยอะ ไว้ค่อยมาใส่นะ เดี๋ยวไม่ครบจะขาดอรรถรสในการอ่าน
......(20/9/06 ) ในที่สุดก็ได้ Update Blog แล้วครับ วันนี้เค้าปฏิรูปการเมืองการปกครอง มีการยึดอำนาจอะไรกันนี่แหล่ะ ผมก็เลยว่างแบบไม่ได้วางแผน เพราะปกติเวลาวางแผนว่าว่าง จะไม่ว่าง :D
.......มาต่อในเรื่องของการสัมภาษณ์งาน ซึ่งจะถือว่ายากมันก็ยากนะครับ เหมือนการสอบครั้งหนึ่งเลยทีเดียว แม้มันจะเป็นการสอบที่เรารู้ข้อสอบ แต่หลายคนกลับทำไม่ได้ นั่นเพราะเราไม่รู้ว่าเค้าอยากได้คำตอบแบบไหนจากเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องตอบให้เค้าพอใจนะครับ แต่มันคือการตอบให้คุณดูเหมาะกับลักษณะงานที่คุณจะเข้าไปทำต่างหาก ซึ่งต้องเป็นคำตอบที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นตัวของตัวเองด้วย อย่าตอบเพียงเพื่อหวังว่ามันจะทำให้เราดูเหมาะสมกับงานทั้งที่จริงๆแล้วเราไม่ได้เหมาะกับงานนั้นเลย แต่ยังไงเสียถึงเวลาจริงๆเราก็ขอตอบให้เราได้งานไว้ก่อนจริงมะ เอิ๊กๆ :D (ใครจะไปรู้ล่ะว่าเราเหมาะหรือเปล่า พี่ก็ลองรับหนู แล้วให้หนูลองทำดูสิค่ะ ถ้าไม่เหมาะจะได้รู้กันไปไงค่ะ)
........ด่านอรหันต์นี้ ความยากมีสองส่วน ส่วนแรกคือการตอบคำถามมาตรฐาน และคำถาม Classic แบบที่เป็นตัวของคุณเอง ผมจะไม่พูดถึงคำถามมาตรฐานและคำถาม Classic ของการสัมภาษณ์งานนะครับ เพราะผมคิดว่าทุกท่านคงพอทราบและรู้คำตอบที่ดีสำหรับตัวท่านเองอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าถึงตอนตอบคำถามจริงท่านจะตอบได้อย่างแนบเนียนและตรงจังหวะแค่ไหน ส่วนความยากที่สองก็คือการทำให้ตัวท่านเอง "โดดเด่น" ท่านต้องพยามแสดงจุดเด่นหรือจุดขายอะไรที่ทำให้ท่านดูเหมาะสมกับงานมากกว่าผู้สมัครคนอื่น ถามว่าท่านจะทราบได้อย่างไรว่าจะต้องแสดงจุดเด่นหรือจุดขายในตัวท่านอะไรบ้างให้ตัวท่านดูเหมาะสมกับงาน คำตอบก็ไม่ยาก ให้ท่านอ่าน Qualification, Requirement และ Job Description แล้วจำให้ดี พอถึงตอนสัมภาษณ์ ท่านจงทำให้เค้าเห็นว่าท่านมีสิ่งที่เค้าต้องการ ท่านตรงกับความต้องการของเค้า เหมือนเวลาท่านจะไปหาซื้อของซักชิ้นที่ท่านจินตนาการไว้ว่าจะต้องมีลักษณะ และคุณสมบัติอย่างไร นั่นล่ะครับ ท่านต้องทำให้เค้าเห็นว่าท่านคือคนที่เค้าต้องการ ท่านคือคนที่เค้ากำลังรอ และท่านจะเป็นคนที่เค้ารับเข้าทำงาน

องค์ประกอบที่สำคัญระหว่างการสัมภาษณ์งาน
  1. หน้าตา อย่าคิดว่าผมบ้านะครับ เมื่อท่านได้รับการทาบทามให้มาสัมภาษณ์งานกับบริษัทเค้าแล้วเนี่ย เรื่องของเรื่องก็คือเค้าอยากเห็นหน้าตาของเรานี่แหล่ะครับ ว่าพอไปวัดไปวากับตำแหน่งที่คุณสมัครได้หรือเปล่า คุณเคยเห็นคนหน้าตาแย่สุดเป็นพระเอกหรือนางเอกละครไม๊ล่ะครับ นั่นล่ะครับ เค้าอยากดูว่าหน้าตาของคุณจะมาเป็นพระเอกนางเอกในตำแหน่งงานงานนี้ได้หรืเปล่า แต่อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ได้พูดถึงความสวยความหล่อนะครับ ผมหมายถึง "โหงวเฮ้ง" ต่างหาก เค้าอยากดูว่าโหงวเฮ้งของท่านมันดูมีแววจะไปได้กับงานของเข้าหรืเปล่า ผมขอบอกท่านว่าโหงวเฮ้งดีมีชัยไปกว่าครึ่ง จำคำนี้ให้ดีครับ โดยเฉพาะ "ดวงตา" ดวงตาของท่านมีพลังและทำอะไรได้มากกว่าที่ท่านคิด ตอนสัมภาษณ์งาน เค้าจะสังเกตสายตาและแววตาของท่านเป็นพิเศษ ไม่เชื่อของไปถาม HR ทุกบริษัทดูได้ครับ
  2. บุคลิกภาพ อันนี้สำคัญมากๆครับ เชื่อไหมครับว่าแค่ท่านเดินเข้าไปในห้องสัมภาษณ์ บุคลิกภาพของท่านก็ทำให้คนสัมภาษณ์ตัดสินไปครึ่งหนึ่งแล้วครับว่าจะรับหรือไม่รับท่าน ไม่เชื่อไปถาม HR ของทุกบริษัทอีกครั้งนึงได้ครับ
  3. ไหวพริบปฏิภาณ ผมชอบเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าความพริ้ว เวลาคุณคิดจะรับใครเข้าทำงาน คุณอยากได้มืออาชีพหรือว่ามือสมัครเล่นล่ะครับ (ถ้าค่าจ้างของสองคนนี้เท่ากัน) ความพริ้วนี่แหล่ะครับ คือข้อแตกต่างระหว่างมืออาชีพกับมือสมัครเล่น เคยเห็นนักกีฬาสมัครเล่นที่ไหนเค้าเล่นได้พริ้วสุดๆไม๊ล่ะครับ ไม่มีหรอกครับ หรือถ้ามีเค้าก็เป็นมืออาชีพตั้งแต่ตอนนั้นแล้วครับ

.......มีองค์ประกอบอื่นอีกที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่เฉพาะที่สำคัญๆผมเห็นว่ามีอยู่ 3 ข้อนี้ล่ะครับ ถ้าใครมีครบ ก็ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ความน่าจะเป็นที่คุณจะได้งานนั้น สูงมากๆ สุดท้ายขอฝากสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ท่านผ่านด่านอรหันต์ไปได้ นั่นก็คือ ความเพียร สวัสดีครับ

เริ่มต้น = สำเร็จ

......ผมคิดว่ามันเร็วมากสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิตของผม ผมคิดว่าผมเป็นคนที่โชคดี ด้วยเวลาที่ค่อนข้างรวดเร็วนี้ทำให้ผมนึกถึงคำกล่าวประโยคหนึ่งที่ผมจำได้อย่างขึ้นใจ เพราะผมชอบประโยคนี้มาก เขากล่าวไว้ว่า "คุณพร้อม เมื่อคุณเริ่มต้น" ก่อนที่ผมจะสมัครงานผมคิดว่าผมไม่พร้อม แต่พอถามตัวเองว่าเมื่อไหร่พร้อม หรืออะไรจะเป็นตัวบอกเราว่าเราพร้อม อย่างเช่น เวลา, พ่อแม่, เพื่อน, หรือต้องรอจน "ความล้มเหลว" มาบอกคุณว่าคุณต้องทำอะไรซักอย่างแล้ว แต่จริงๆถ้าเราไม่ทำอะไรแล้วเราจะล้มเหลวได้ไงเนอะ คงเป็นเพราะคนเรานิยามคำว่า ล้มเหลว ไว้ไม่ดี ถึงได้มีการใช้คำนี้แบบคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ทำให้แต่ละคนตีความไม่ตรงกัน (หรือผมบ้าไปเอง แหะๆ)

......สิ่งที่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่การเริ่มต้น-สำเร็จ

  • เริ่มต้นการสมัครงานวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
  • สัมภาษณ์งานครั้งแรกกับบริษัท S. วันที่ 1 สิงหาคม
  • สัมภาษณ์งานครั้งที่สองกับบริษัท V. วันที่ 3 สิงหาคม
  • สัมภาษณ์งานครั้งที่สามกับบริษัท K. วันที่ 7 สิงหาคม
  • สัมภาษณ์งานครั้งที่สี่กับบริษัท H. วันที่ 11 สิงหาคม
  • ทำสัญญาว่าจ้างกับบริษัท V. วันที่ 15 สิงหาคม
  • เริ่มงานกับบริษัท V. วันที่ 16 สิงหาคม

.......ผมนึกถึงคืนวันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม เวลา 02.00 น. ตอนนั้นผมคิดว่า "ไว้ค่อยหาที่สมัครก็ได้ คงไม่ยากอะไร ไว้หาวันอื่นละกัน ไม่น่ามีปัญหา " แต่สุดท้ายคืนนั้นผมก็นั่ง Search หาบริษัท ปรับเปลี่ยนปรับปรุง Resume ที่จะส่งไปแต่ละที่แต่ละบริษัท แล้วก็ส่งใบสมัครไปตามบริษัทต่างๆที่ผมเห็นว่าเข้าท่า น่าจะไปด้วยกันได้ทั้งหมด 15 บริษัท เท่านั้นเอง นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมไม่รอไว้ทำวันอื่น ถึงวันนี้ผมคิดว่ามันคือ "สำเร็จ" เพราะว่าผม "เริ่มต้น" ซักที

Tuesday, July 18, 2006

ระบบการศึกษาไทย

.......หากเรานำเด็กไทยก่อนเข้ารับการศึกษาจำนวน 100 คน เปรียบเทียบความฉลาดโดยเฉลี่ยกับเด็กประเทศอื่น เช่น อเมริกา อังกฤษ ฯลฯ( เน้นประเทศที่พัฒนาแล้ว) ซึ่งเป็นเด็กก่อนเข้าศึกษาจำนวน 100 คนด้วยเช่นกัน ถามว่าผลมันน่าจะออกมาเป็นอย่างไร ผมคิดว่ามันผลออกมาต้องพอๆกันแน่ๆ หรือไม่เราก็น่าจะฉลาดกว่า เพราะว่าผมเป็นคนไทย :D แต่ทำไมสุดท้ายผลผลิตทางการศึกษาของเราถึงได้"ด้อย"คุณภาพกว่าประเทศอื่นหลายๆประเทศที่เค้า"ด้อย"กว่าเราในหลายๆด้าน(ยกเว้นด้านการศึกษานี่ไง)
.......ประเทศอินเดีย ยากจนกว่าเรา สภาพสังคม(ทางวัตถุ)ล้าหลังกว่าเรา(แต่ทางจิตใจอาจจะพัฒนาไปสูงกว่ามากแล้วหรือเปล่าไม่รู้) คุณภาพชีวิตประชากรไม่ดีเท่าเรา ผู้คนอดอยาก ชุมชนแออัดมากมาย ประชากรของประเทศต้องแย่งกันอยู่แย่งกันกิน (ประชากรของประเทศเค้าหลักพันล้านนะ) แต่......ทำไม๊ ทำไม ทำไม คุณภาพการศึกษาของเค้าสูงกว่าเรามาก ประเทศอินเดียผลิต Programmer ทำงานทางด้าน Hardware&Software Computer กับบริษัทคอมพิวเตอร์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น Intel AMD Microsoft ฯลฯ และยังมีนักวิชาการ นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ ระดับแนวหน้าของโลกมากมายเป็นคนอินเดีย ตรงนี้ถามว่าเป็นเพราะผู้ปกครองของประเทศเค้าตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษาหรือเปล่า เค้าเห็นว่าไม่ว่าประเทศมันจะห่วยแตกยังไง แต่หากประชากรมีการศึกษาซะอย่างแล้ว ประเทศเค้าไม่มีทางล่มจมมั๊ง ผมว่าเค้าคิดถูก!!!
......กลับมาดูประเทศไทย ประเทศเรากินดีอยู่ดี มีอิสระเสรีภาพ มีความศิวิไลซ์ทั้งแสงสีเสียง ความเจริญทางวัตถุไม่แพ้ชาติใดในเอเชีย(เน้นว่าวัตถุ) แต่ดูเด็กไทยกันนิด ดูบัณฑิตไทยกันหน่อย ไม่อยากพูดอะไรมาก เหมือนด่าตัวเอง เรากำลังพัฒนาอะไรกันอยู่ แผนพัฒนาประเทศกี่ฉบับๆ ผ่านมากี่สิบปีๆ การศึกษาไทยมันก็ยัง....."งี่เง่า" ดูผลผลิตทางการศึกษาก็พอ ไม่ต้องไปหาว่ามันงี่เง่าจริงหรอ ถ้าอย่างนั้นถามว่าทำไมรัฐบาลไม่พัฒนาการศึกษาสักทีล่ะ ก็เพราะถ้าเค้าพัฒนาแล้วคราวหน้าก็ไม่มีใครเลือกเค้าอีกน่ะสิ!! คงมีนักการเมืองบางคน(จริงๆอยากใช้คำว่าทุกคน) พูดว่า " ไม่ได้หรอก หากกูพัฒนาการศึกษาแล้ว เกิดคนฉลาดเยอะๆ กูก็ซวยสิวะ ไม่ได้ๆ เพื่อเบี่ยงประเด็นว่าไม่เคยพัฒนาการศึกษา กูก็เอาเงินภาษีพวกมันนี่แหล่ะ ไปซื้อของมาล่อให้มันหลงระเริง ซื้อคอมพิวเตอร์ห่วยๆมาขายถูกๆ เอากำไรแต่บอกว่ายอมขาดทุนเพื่อการศึกษาของชาติ แล้วก็บอกว่าเพื่อเป็นสื่อการเรียนการสอนสำหรับส่งเสริมการเรียนการสอนให้กับผู้เรียน ฟังดูดีจริงๆ เอามาอ้างเป็นผลงานหาเสียงสมัยหน้าได้ด้วย กูนี่ฉลาดจริงๆ หลอกคนไทยโง่ๆได้เกือบทั้งประเทศ " (ทั้งๆที่จริงๆเด็กเขียนหนังสือยังไม่ค่อยเป็นเลย จะให้ใช้ keyboard คอมพิวเตอร์ หรือจะให้เรียนผ่าน Internet อีก ไอ้...เอ้ย)
......ด่ารัฐบาลพอก่อน(ไว้ Post ใหม่ เอาแบบเต็มๆเลยดีกว่า) กลับมาที่การศึกษาไทย ส่วนที่ต่างกันของ"ระบบการศึกษาที่ดี"กับ"ระบบการศึกษาของไทย" คือความคิดของผู้เรียน เนื่องจากระบบการศึกษาไทยไม่ส่งเสริมให้เกิดการคิด ไม่ทำให้เด็กรู้จักคิด ไม่สร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบให้กับผู้เรียน แล้วถามว่าระบบคืออะไร คำตอบคือ ทุกอย่างที่อยู่ในการเรียนการสอนของเด็ก แต่ในที่นี้ขอเน้นสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ครู"
......เราให้ความสำคัญกับครูมากเกินไป การเรียนการสอนของไทยเรายังเน้นและยึดติดอยู่กับครูเกือบ 100% ไม่เหมือนวิธีการเรียนการสอนที่ให้ "เด็กคิด"มากกว่า "ครูคิด" ซึ่งครูจะมีส่วนน้อยมากกับการสอน เพราะเขาแทบไม่ต้องสอน!! พัฒนาการของผู้เรียน ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเอง เพราะว่าเขา"เรียนเอง อ่านเอง คิดเอง ทำความเข้าใจเอง" ครูมีหน้าที่"ตอบคำถาม"เมื่อผู้เรียนไม่เข้าใจสิ่งที่เค้าไปทำมาตามประโยคข้างหน้านี้เท่านั้น เหมือนเป็น"ผู้สนับสนุนการเรียน"ให้กับผู้เรียนมากกว่า เปลี่ยนบทบาทครูจากการผู้ให้ทางตรง เป็นผู้ให้ทางอ้อม แล้วให้ผู้เรียนเป็นผู้ให้ทางตรงกับตัวเขาเองซึ่งสร้างความสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนได้มากกว่า เพราะผู้เรียนได้สองอย่างพร้อมๆกัน นั่นคือความรู้และกระบวนการคิด วิธีที่เป็นอยู่ตอนนี้คือ "ครูนำความรู้ยัดใส่หัวเด็ก" เด็กเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ท่องเอา เพราะว่าเขาโดนความรู้ยัดใส่เข้ามา "เขาไม่ได้ย่อยมันเอง จัดเรียงความรู้เข้าสู่สมองของเขาเอง"
.......หากคิดจะให้ลูกของท่านเรียนในประเทศไทย ก็โปรดยอมรับในระบบการศึกษา"ห่วยๆ"ของไทยไว้ด้วย และอย่างน้อยก็เลือกโรงเรียนดีๆหน่อยนะครับ แต่ไม่ได้บอกว่าโรงเรียนดีๆที่คุณคิดไว้จะไม่มี"ครูห่วยๆ" นะครับ แต่ก็อ้างว่ามันมีน้อยละกัน เพราะคำว่า"คุณภาพของครู"สำหรับผมแล้วก็..... พูดกันตรงๆแบบขวานผ่าซาก แต่ให้ท่านคิดเอาเองดีกว่า คนที่มาเป็นครู คือคนที่ผ่านระบบการศึกษาห่วยๆของไทยมาใช่ไหม คำตอบคือ "ใช่" คนที่มาเป็นครู มีจำนวนน้อยที่ตั้งใจจะมาถ่ายทอดความรู้ให้ผู้อื่นใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" คนที่มาเป็นครูหากเขามีวิธีทำเงินที่ดีกว่า มากกว่า เขาคงจะไม่มาเป็นครูใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" คนที่มาเป็นครู ส่วนมากเขาต้องการความก้าวหน้าทางวิชาการและความก้าวหน้าทางสังคมของตัวเอง มากกว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้รับการสอน ใช่หรือไม่ คำตอบคือ"ใช่" มีคำถามอีกมากมายที่สะท้อนถึง"คุณภาพของครู"ของประเทศไทย ถ้าคนที่จะทำให้สมองของชาติดีหรือไม่ดีมีปัญหาซะแล้วเนี่ย คุณคิดว่าเรายังจะหวังอะไรจากใครได้อีก ในเมื่อเราก็ผ่านเจ้าสิ่งห่วยๆสิ่งนี้มาด้วยกันทั้งนั้น
......วันนี้มาแรง วันนี้เล่นแรง แต่อย่าเข้าใจผิดว่าผมด่าทุกคนโง่ แล้วผมฉลาดอยู่คนเดียว เพราะผมก็ผ่านระบบการศึกษาไทยมาเหมือนกันนะ แต่ผมแค่อยากจะบอกว่า เรามีระบบการศึกษาที่"ส่งเสริมและสนับสนุน"ให้เกิด"คนโง่มากกว่าคนฉลาด" ก็แค่นั้นล่ะครับ สวัสดีครับ

ป.ล. หากมีใครอ่านแล้ว คิดอะไรเจ็บๆแสบๆได้ มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้นะครับ เผื่อจะทำให้การศึกษาไทยดีขึ้น(แบบนามธรรมนะ เพราะเราไม่ได้ลงมือทำอะไรกันอยู่ดีใช่มะ)

Monday, July 10, 2006

Spend the life with happiness

..........ความสุขคือตัวขับเคลื่อน ความสุขคือแรงบันดาลใจ ความสุขคือพลังสำหรับการทำทุกอย่าง เมื่อคิดจะทำอะไร ถ้าคิดว่าทำแล้วมีความสุข ทำไปเลยครับ แต่ก็ขอให้คิดด้วยว่ามันคือความสุขชั่วครั้งชั่วคราวหรือเปล่า ระวังการกระทำบางอย่างเพื่อความสุขวันนี้มันจะก่อให้เกิดความทุกข์ในวันหน้าด้วยนะครับ เมื่อท่านรู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย เครียด เผชิญกับปัญหา หรืออาการไม่อยากเดินออกจากบ้านตอนเช้าเพื่อไปทำงานแล้วกลับมาถึงบ้านด้วยสภาพซังกะตายในตอนค่ำ ก็จงคิดแค่ว่า"มีความสุขอีกมากมายที่จะเข้ามาในชีวิตของเรา เราไม่ควรอยู่ในภวังค์แห่งทุกข์ เพราะเมื่อเราทุกข์ ความสุขก็ย่อมไม่เกิดกับเรา" อย่าถามตัวเองว่าทำไมเราต้องมาเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ด้วย มันไม่ทำให้อะไรดีขึ้นเลย วิธีที่ดีสำหรับการเริ่มต้นมีความสุข คือ การคิดเชิงบวก หรือการมองโลกในแง่ดีนั่นเอง
..........สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้ท่านอยากมีชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป ก็คือ การเห็นคุณค่าของตัวเอง จงภูมิใจในความเป็นตัวของคุณเอง คุณเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวคุณเอง คุณไม่ได้เกิดมาเพื่อที่จะเป็นอะไรแย่ๆสำหรับใคร คุณมีคุณค่าสำหรับคนอื่นเสมอ แต่คนแรกที่ต้องเชื่อในความคิดนี้ก็คือตัวคุณเอง ขอให้คุณมีชีวิตเพื่อความสุขของตนเองและผู้อื่นนะครับ สวัสดี

วันงืดๆ

3 ก.ค.49
.............วันที่อากาศร้อนอบอ้าวมาก ควรจะหาที่เย็นๆอยู่ หาอะไรเย็นๆดื่ม แต่อะไรดลใจล่ะเนี่ย หาเรื่องให้ตัวเองทั้งๆที่มันไม่จำเป็นล้ยยยยยย แต่ก็ทำ! คือแบบว่า....อยากได้ไม้แบดอันใหม่(มีอยู่แล้ว 5 อัน) เงินเยอะเกินไป อยากเสียเงินๆๆๆๆๆ ดูนาฬิกา 14.50 น. มีสอน 18.00 น. เอาวะๆ ยังทันๆ แต่งตัวๆ เสื้อเชิ้ต กางเกงขายาว รองเท้าหนัง ร้อนฉิบหาย เหงื่อออกอย่างจัด ตัวเหนียวเหนอะหนะ แต่ก็ออกเดินทาง

15.10 : นั่งรถประจำทางสาย 162 ไปลงที่สถานีรถไฟฟ้าช่องนนทรี (เสื้อเปียก 5%)
15.34 : ขึ้นรถไฟฟ้าที่สถานีช่องนนทรี (เสื้อเปียก 15%)
15.56 : ลงรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าสยาม (เสื้อเปียก 10%)
16.15 : มาถึง Central World Plaza ด้วยการเดิน Skywalk (เสื้อเปียก 26%)
16.25 : หลงทางใน Central World Plaza ในส่วนของตึกสำนักงานที่อยู่ตรงข้ามสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพราะเข้าใจว่ามันทะลุกับตัวห้างสรรพ
สินค้าที่อยู่ตรงข้ามกับBigC ซึ่งจริงๆมันได้ แต่ว่าตอนนี้ทางเดินทะลุกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง (เสื้อเปียก 35%)
16.32 : วนเวียนใน Central World Plaza หาทางเดินไปร้าน Yonex ด้วยความทรมานเพราะว่าทั้งห้างเต็มไปด้วยกลิ่นสี ทินเนอร์ แลคเกอร์
ฝุ่นละออง คนหน้าตาแย่ และโคตรร้อน (เสื้อเปียก 48%)
16.43 : ได้รู้ว่าร้าน Yonex ปิดหลังจากเดินวนไปวนมาหาทางไปฝั่ง Zen ให้ได้ (ก็ห้างมันกำลังปิดปรับปรุงไง ไอ้โง่!!) (เสื้อเปียก 62%)
17.02 : มาถึงสถานีรถไฟฟ้าสยามอีกครั้งด้วยSkywalk เหมือนเดิม (เสื้อเปียก 80%)
17.19 : ลงรถไฟฟ้าที่สถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ (เสื้อเปียก 77%)
17.45 : มาถึงซอย 18/7 แยก 15 ของซอยเซ็นต์หลุยต์ซอย3 ด้วยการเดินจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ (เสื้อเปียก 96%)
17.46 : นั่งกินก๋วยเตี๋ยวร้านหยูง้วนกับคำถามของบริกรที่ว่า"ข้างนอกฝนตกหรอค่ะ" (เสื้อเปียก 100%)
18.00 : ไปสอนเด็กม.3 อัสสัมชันคอนแวนต์ (เสื้อเปียก 80%)
20.00 : จบ Class (เสื้อแห้ง)
20.30 : กลับถึงบ้าน
23.15 : ซัดพาราเซตามอลไป 2 เม็ด

สรุป


  • ไม่ควรดันทุรังทำอะไรไปทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ work หรือเพียงแค่ต้องการสนองตัณหาชั่วคราว
  • อย่าใสเสื้อเชิ้ตตัวนั้นอีก(มารู้ตอนหลังว่ามันเป็นเสื้อเชิ้ตพิเศษ เก็บความร้อนเป็นเลิศ)
  • ไม่ควรพึ่งการเดินทางด้วยรถยนต์บนถนนสาทรตั้งแต่ 17.00 น.(ทำให้ผมต้องเดินจากสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์มาถึงเซ็นต์หลุยต์ซอย3 นี่ไง แง่งๆๆๆๆ)
  • บริกรร้านก๋วยเตี๋ยวมันไม่ได้ประชด แต่สภาพตอนนั้นของผมมัน.....ชุ่มมมมม)
  • รวมระยะทางการเดิน > 4 กม.

Wednesday, June 14, 2006

Resume จ๋า

........ผมกำลังจะเปลี่ยนอาชีพ ผมกำลังจะเป็นมนุษย์เงินเดือน!! อาชีพที่พบอิสระทางการเงินได้ยากที่สุด (ถ้าไม่มี sideline ควบคู่ไปด้วย) แต่หนึ่งปีที่ผ่านมา สิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของผม ทำให้ผมรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับครั้งหนึ่งของชีวิต ไม่งั้นชีวิตเราก็คงขาดรสชาติอะไรไปซักอย่าง เมื่อผมยอมรับมันมากขึ้น ก็เริ่มต้นสมัครงานกันได้ ตอนสมัครก็คิดแค่ว่าอย่างน้อยถ้าไม่รุ่งก็จะได้กลับมาทำธุรกิจการศึกษา หรือไม่ก็ธุรกิจซื้อมาขายไปเหมือนเดิม
.......การสมัครงานไม่ใช่เรื่องยาก มันง่ายกว่าการสอนตรีโกณประยุกต์ให้น้องม. 5 มากนัก แต่ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปที่ฝ่าย HR ของบริษัทที่ผมสนใจ แล้วบอกกับเค้าว่า "ผมมาสมัครงานตำแหน่งวิศวกรครับ" ผมจะต้องมี Resume ของตัวเองก่อน ซึ่งโดยขั้นตอนการทำ Resume แล้ว ผมก็ขอเล่นง่ายๆ Style JoopIE ดังนี้
  1. ใช้สุดยอดเครื่องมือในการค้นหา Resume Format เข้าท่าๆซักอันจากแหล่งทรัพยากรที่ดีที่สุดในเรื่อง Data & Information นั่นคือ Internet (Google พระเจ้า)
  2. ในส่วนของ Profile ผมแต่งประโยคภาษาอังกฤษงามๆแจ่มๆไม่เป็นอ่ะ แต่เราฉลาด(แกมโกง)นี่นา อิอิ
  3. เข้าเว็ป JobDB, Search ตำแหน่ง Engineer, Click เข้าไปที่บริษัทไหนไม่รู้ สองสามบริษัท แล้วก็เอา Requirement จากบริษัทเหล่านั้นนั่นแหล่ะ ที่มันค่อนข้างตรงกับเรา Copy-Paste ลงไปใน Profile ของเราเลย
  • Good Command of spoken and written in English & computer literacy
  • Communication & Presentation Skills
  • Resourceful and enthusiastic in learning new things

...........สวยงาม ดูดีมีชาติตระกูล (ลอกเค้ามาทั้งนั้น) 555

.........เเท่านี้ละกัน อุบาทว์ตัวเอง บอกความชั่วร้ายไปเยอะละ (แต่จริงๆมีอีกเยอะมากที่ไม่บอก :P) สรุปว่าในที่สุดเราก็ได้ Resume หน้าตาดีมาหนึ่งฉบับ พร้อมรบในขั้นแรก เพราะนี่คือกระดาษใบแรกที่ทำให้บริษัทรู้จักและประเมินผมในเบื้องต้นไปแล้วเรียบร้อย เอกสารอื่นๆก็ Xerox ไปโลด จะมีส่วนสำคัญที่สุดคือขั้นตอน "การสัมภาษณ์งาน" เรียกว่าเป็นขั้นตอนที่มีผลต่อการได้หรือไม่ได้งานถึง 80% เลยทีเดียว ขั้นนี้ขอบอกว่าขึ้นอยู่กับไหวพริบ สติ แล้วก็...ความพริ้วครับผม :D

Tuesday, June 06, 2006

ทำตามหลักการ

........วันนี้นั่งอ่านบทความคอมพิวเตอร์ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น ซึ่งตาม style ผม เวลาผมนั่งอ่านอะไรก็ตามที่ไม่ได้ seriuos มากนัก ผมจะเปิดเพลงฟังไปด้วย เรื่องมันก็มีอยู่ว่าวันนี้ฝนตกทั้งวันเลย ซึ่งตอนแรกที่ฝนตกเนี่ย มันก็ตกพรำๆครับ อากาศกำลังเย็นสบาย แต่พอสัก 16.30 น. ฝนตกหนักขึ้น เสียงฝนมารบกวนการฟังเพลงของผม(ตกลงมันอ่านบทความหรือฟังเพลงวะ :P) ผมก็เลยต้องเปิดเสียงเพลงให้ดังขึ้น ไม่งั้นมันก็ฟังไม่รู้เรื่องอ่ะดิ แค่นี้ก็น่าจะจบ แต่....ลองคิดดูสิว่า "ถ้าเราเปิดเสียงดังขึ้น มันก็จะกินไฟมากขึ้น" ผมขี้งก เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรผมจะยอมเสียค่าไฟเพิ่ม ก็เลยขอย้อนกลับไปใช้หลักวิชาการในการแก้ปัญหากันหน่อย
........จากที่เราเคยเรียน Safety Engineering ได้กล่าวไว้ว่า การแก้ปัญหาเรื่องมลพิษทางเสียง มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี
  1. จัดการที่ตัวกำเนิดเสียง ก็คือกำจัดต้นเหตุหรือตัวก่อมลพิษทางเสียง ซึ่งในที่นี้ก็คือ ฝน แต่ผมก็ไม่สามารถทำให้ฝนหยุดตกได้ ดังนั้น ข้อนี้ผ่าน
  2. จัดการที่ตัวกลางหรือพาหะนำเสียง ก็คือปิดกั้นหรือขัดขวางการเดินทางของเสียงผ่านตัวกลาง ซึ่งในที่นี้ก็เช่นการปิดหน้าต่าง ข้อนี้เข้าท่า เป็นตัวเลือก
  3. จัดการที่ผู้รับเสียง ก็คือการป้องกันไม่ให้เสียงมาถึงผู้ฟัง ซึ่งในที่นี้ก็เช่น ใส่ Headphone, Earplug ข้อนี้ก็เข้าท่า เป็นตัวเลือก

........เมื่อผมลองคิดดูแล้ว สรุปผมเลือกข้อสอง ด้วยเหตุผลสนับสนุนดังนี้

  1. กระทำได้ง่าย แค่ลุกไปปิดหน้าต่าง
  2. ป้องกันเสียงอย่างอื่นได้ด้วยนอกจากเสียงฝนตก
  3. เปิดเสียงเพลงดังเท่าเดิม ประหยัดไฟ
  4. ไม่ต้องถอดสายเสียบลำโพง เพื่อต่อ Headphone ให้ยุ่งยาก และที่สำคัญคือผมก็ไม่ต้องไปนั่งขุด Headphone ในตู้
  5. ไม่ต้องมารู้สึกรำคาญที่จะต้องมีอะไรมาครอบหัวและเสียบอยู่ที่หู และสายที่จะมาเกะกะ Keyboard อีก

........มีเหตุผล คิดรอบคอบ เข้าท่าที่สุดแล้ว เอาล่ะ....ไปปิดหน้าต่างเรียบร้อย ฟังเพลงมีความสุข ประหยัดไฟ ไม่ต้องเปิดเพลงเสียงดัง แต่ซักพัก.....ร้อนว่ะ! เปิดแอร์ดีกว่า o"-___-"o

........ทำไมกูไม่ปิดเพลง แล้วฟังเสียงฝนแทนเสียงเพลงวะ ได้ทุกอย่าง ไม่ต้องเสียอะไรเลย

  1. ประหยัดไฟสุดๆ
  2. ไม่ต้องลุกไปปิดหน้าต่าง
  3. ไม่ต้องถอดสายลำโพงเพื่อเสียบ Headphone ให้ยุ่งยาก
  4. ไม่ต้องไปขุด Headphone ในตู้
  5. ไม่ต้องมารำคาญอะไรครอบหัว และสายเกะกะ Keyboard
  6. ไม่ต้องนั่งพิมพ์อะไรปัญญาอ่อนอย่างนี้!!!

จากเหตุการณ์นี้ขอสรุปสั้นๆว่า "ทุกข์อยู่ที่ใจ"

อาเมน

Sunday, June 04, 2006

จริงหรอวะเนี่ย

........05.20 น. 5 มิถุนายน 2549 ข้าพเจ้าตื่นมาก่อนเวลาอันควร (ก่อน 9.00 น.) เนื่องด้วยความรู้สึกแสบๆคันๆบริเวณหัวไหล่ด้านขวาวิ่งเข้ามารายงานตัว ครั้นนำมือซ้ายไปลูบดูก็พบความจริงว่าข้าพเจ้าโดนแมลงสัตว์กัดต่อย ไปอย่างน้อย 3 ที อันด้วยจำนวนตุ่มที่ปรากฏขึ้นนี้ จะมาจากสาเหตุอื่นก็หาจะเป็นได้ไม่ ถึงความง่วงจะยังคงรุมเร้าในภวังค์นั้น แต่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าความคันที่มาเร้ารุมในภวังค์นี้ ในเพลาแรกก่อนเปิดไฟห้องนอน ผมใคร่ครวญไปว่าเป็นสัดว์โลกตัวที่เรียกว่ายุงหรือมดกันหนอ ที่มาเบียดเบียนเราในครานี้ ครั้นเมื่อพิจารณาไตร่ตรอง "ความคัน" ดูแล้วเห็นว่าอาการ "คันกู"ในตอนนี้คงจะมิใช่อาการ "คันยุง" แต่หากน่าจะเป็นอาการ " คันมด" ด้วยเหตุว่าสองอาการคันนี้ มันแตกต่างและแยกแยะได้ ด้วย "ประสบการณ์คัน"
........และแล้วเมื่อเปิดไฟห้องเพื่อตรวจตรา ก็เห็นจริงดังการคาดการณ์ "มดขึ้นที่นอน" ครับท่าน เวรเอ้ย มาจากไหนวะเนี่ย วัยรุ่นเซ็ง (หมดความอดทนในการพิรี้พิไรละ) หอบผ้าหมอนที่นอนนั่งออกจากห้องเพื่อนำไปกำจัดมดและทำความสะอาด ระหว่างนั้นก็ลองคิดดูว่า "มันมาได้ไงวะ" เมื่อวานทำไรในห้องที่เป็นการเชื้อเชิญมด ทบทวนไปได้ความว่า ไปสอนเลขตอนบ่าย กลับมาไปตีแบด ตีแสร็จก่อนกลับแวะกินข้าว แล้วก็กลับบ้าน แค่เนี้ยะ ไรเนี่ย
........แต่เอ๋ เดี๋ยวก่อนนะ อืม....มันมีอะไรผิดปกติอยู่นะคือว่า เมื่อคืนพอตีแบดเสร็จก็ไปกินข้าว ไปกินข้าวหมูแดงที่ร้านนึงที่ไม่เคยรู้ว่ามันอร่อยและมีชื่อเสียงในแถบนั้น ก็เลยกินไปสองจานแล้วยังต่อบะหมี่เกี๊ยวแห้ง "ที่ใส่น้ำตาล" อีกชาม แล้วมันแปลกตรงไหน? ผมคิดว่า....ปกติคงไม่มีใครกินข้าวหมูแดงก่อนนอนซะสองจานแล้วต่อด้วยบะหมี่เกี๊ยวแห้งอีกชาม และส่วนที่ผิดปกติที่สุดก็เห็นจะเป็นบะหมี่เกี๊ยวแห้ง "ที่ใส่น้ำตาล" นี่ล่ะครับ เพราะปกติผมกินก๋วยเตี๋ยวไม่เคยปรุง!! นี่อาจจะเป็นผลจากความหวานของข้าวหมูแดง(ที่อร่อย) บวกกับน้ำตาลที่ผมไม่เคยได้รับมาจากก๋วยเตี๋ยว รวมกันเป็น "ตัวเรียกมด" ซึ่งจริงๆมดมันอาจจะอยู่มาตั้งนานแล้ว แต่ว่ามันไม่ออกมา "ดูด" ความหวานจากตัวผม เพราะว่าผมยังไม่หวานพอ

........คิดไปแล้วก็......ถามตัวเองว่า......"จริงหรอวะเนี่ย"